เมษายน 20, 2024
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 34.37 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทอ่อนเป็นไปตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว แรงกดดันฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่

การเงิน นักลงทุนต่างชาติสามารถเดินหน้าขายสุทธิสินทรัพย์ไทย ทั้งหุ้นและบอนด์ อย่างต่อเนื่อง ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (17ก.พ.2566)ที่ระดับ 34.37 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.33 บาทต่อดอลลาร นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้นเป็นไปตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวโดยเฉพาะในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่เงินบาทอ่อนค่าหนักไปทดสอบโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ที่เราประเมินไว้ ก่อนที่จะแข็งค่าขึ้นมาเล็กน้อยจากโซนแนวต้านดังกล่าว เราประเมินว่า แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อค่าเงินบาทจะยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเดินหน้าขายสุทธิสินทรัพย์ไทย ทั้งหุ้นและบอนด์ อย่างต่อเนื่องได้ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทอาจเริ่มเป็นลักษณะ sideways ในกรอบใหม่ หลังเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญก่อนหน้า โดยเราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วง 34.00-34.50 บาทต่อดอลลาร์ และถ้าหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญ เราประเมินว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อไปถึงโซน 34.75-35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจเห็นการชะลอลงของการอ่อนค่าได้บ้าง

เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 34.37 บาทต่อดอลลาร์

เนื่องจากโซนดังกล่าวอาจเป็นจุดที่ผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long USDTHB จะเริ่มขายทำกำไรมากขึ้น อนึ่ง ความผันผวนของตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง

ทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option ข่าวการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.50 บาท/ดอลลาร์ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.78% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.38% ชี้ว่า บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อย่างชัดเจน ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงช้า กดดันให้เฟดจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากที่ข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ลดลงสู่ระดับ 194,000 ราย ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ และดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index) ในเดือนมกราคม ก็เร่งตัวขึ้นแตะระดับ 6.0% สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังถูกกดดันจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งต่างสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและบางท่านก็สนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงสามารถปรับตัวขึ้นได้ราว +0.19% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ต่างออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะ หุ้นในกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ Kering +3.2% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักอยู่ ทำให้การปรับตัวขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ความกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตที่เร่งตัวขึ้นและภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.86% ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเริ่มเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญแถว 3.90%-4.00% ซึ่งน่าจับตามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะย่อตัวมากน้อยขนาดไหน

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ตลาดสกุลเงินเอเชียร่วงแรง เงินเยนถูก GDP ที่อ่อนตัวกดดัน